‘สรท.’ เห็นพร้องกนง. คาดตัวเลขส่งออกปี’63 ร่วงมากกว่า -8% เซ่นพิษโควิด-19


 

นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การส่งออกในเดือนกุมภาพนธ์ มีมูลค่า 20,642 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 4.47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 16,745 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 4.30% ส่งผลให้เดือนกุมภาพันธ์ ประเทศไทยเกินดุลการค้า 3,897 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยหากนับตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ไทยส่งออกรวมมูลค่า 40,267 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 0.81% ส่งผลให้ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563 ไทยเกินดุลการค้า 2,341 ล้านเหรียญสหรัฐ

"สรท.คงคาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2563 หดตัวไม่ต่ำกว่าติดลบ 8% และมีโอกาสหดตัวถึงตัวเลขสองหลัก ซึ่งเป็นการหดตัวในรอบ 10 ปีส่วนการขยายตัวของเศรษฐกิจคาดการณ์ว่าอยู่ที่ลบ 5.3% บนสมมติฐานค่าเงิน 30.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ​ โดยอัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.36-32.97 บาทต่อเหรียญสหรัฐ​ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่คาดการณ์ว่าการส่งออกในปีนี้จะหดตัวติดลบ 8% และต้องรอดูผลการใช้มาตรการอัดฉีดเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในภาพรวมทั่วโลก หากมาตรการเพียงพอเศรษฐกิจอาจจะไม่ถดถอยมาก คาดว่าจะไม่กระทบกับการส่งออกของไทยไปมากกว่านี้" นางสาวกัณญภัค กล่าว

สำหรับ ปัจจัยลบหลักที่กระทบมาจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลให้หลายประเทศชะลอคำสั่งซื้อ การขนส่งสินค้าลำบากมากขึ้นทั้งทางเรือ ทางอากาศ จากการออกมาตรการปิดประเทศ หรือล็อคดาวน์ ควบคุมการเดินทางเข้า-ออก รวมถึงประเทศไทย ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง ซึ่งคาดว่าปริมาณสินค้าเกษตรที่ออกสู่ตลาดจะไม่เพียงพอต่อการส่งออก แม้มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ อาทิ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด สับปะรด ปาล์ม ลำไย เป็นต้น

ขณะที่ ส่วนปัจจัยบวกที่มีผลต่อการส่งออก เช่น การค้าขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มสินค้าอุปโภคและสินค้าเวชภัณฑ์ ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ อยู่ที่ 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี เนื่องจากผลของการระบาดไวรัสโควิด – 19 ส่งผลต่ออุปสงค์การใช้น้ำมันที่ลดลงทั่วโลก ประกอบกับสงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดิระเบีย รัสเซียและสหรัฐ ในช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อาจให้เกิดผลดีต่อต้นทุนการผลิตและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศลดต่ำลง

อย่างไรก็ตาม สรท.มีข้อเสนอแนะต่อรภาครัฐ ได้แก่ การจัดทำข้อเสนอแนะรองรับผลกระทบจากโควิด-19 ต่อภาคการส่งออกไทย เพื่อเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยข้อเสนอแนะที่จัดทำขึ้นได้พิจารณาทั้งในส่วนของระดับความสำคัญ ระยะเวลาการใช้มาตรการที่รองรับทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ครอบคลุมด้านการเงิน ด้านแรงงาน ด้านการนำเข้าวัตถุดิบและการส่งออกสินค้า ด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง ด้านการตลาด เป็นต้น

นางสาวกัณญภัค กล่าวต่อว่า อีกทั้ง สรท.ได้ทำการเปรียบเทียบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในประเทศที่รัฐบาลได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้อย่างต่อเนื่อง หากแต่หลายมาตรการที่ออกมานั้นยังเพียงพอที่จะทำให้ผู้ประกอบการส่งออกและผู้ผลิตยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้ในช่วงระยะสั้นและอาจกระทบต่อเนื่องเป็นระยะยาวจนอาจถึงขั้นต้องปิดกิจการ

นอกจากนี้ สรท.ขอให้ภาครัฐมีความชัดเจนในเรื่องของวิธีการดำเนินงานของภาคการส่งออก นำเข้า โรงงานการผลิตและระบบโลจิกสติกส์ หากจำเป็นมีการประกาศเคอร์ฟิวยกระดับเป็น 24 ชั่วโมงทั่วประเทศ เนื่องจากโรงงานและระบบโลจิสติกส์เพื่อการส่งออกนำเข้าไม่สามารถหยุดการดำเนินกิจกรรมการทางการค้าทั้งในประเทศและระหว่างประเทศได้ มิเช่นนั้นแล้วอาจทำให้เครื่องจักรตัวสุดท้ายของระบบเศรษฐกิจพัง

นางสาวกัณญภัค กล่าวต่อว่า และขอให้ภาครัฐเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญของประเทศ ทั้งทางบก ทางราง ทางเรือ และทางอากาศ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุน ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจในประเทศสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น

ที่มา: https://www.matichon.co.th/economy/news_2127233

 

นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การส่งออกในเดือนกุมภาพนธ์ มีมูลค่า 20,642 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 4.47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 16,745 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 4.30% ส่งผลให้เดือนกุมภาพันธ์ ประเทศไทยเกินดุลการค้า 3,897 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยหากนับตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ไทยส่งออกรวมมูลค่า 40,267 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบ 0.81% ส่งผลให้ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2563 ไทยเกินดุลการค้า 2,341 ล้านเหรียญสหรัฐ

"สรท.คงคาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2563 หดตัวไม่ต่ำกว่าติดลบ 8% และมีโอกาสหดตัวถึงตัวเลขสองหลัก ซึ่งเป็นการหดตัวในรอบ 10 ปีส่วนการขยายตัวของเศรษฐกิจคาดการณ์ว่าอยู่ที่ลบ 5.3% บนสมมติฐานค่าเงิน 30.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ​ โดยอัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.36-32.97 บาทต่อเหรียญสหรัฐ​ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่คาดการณ์ว่าการส่งออกในปีนี้จะหดตัวติดลบ 8% และต้องรอดูผลการใช้มาตรการอัดฉีดเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในภาพรวมทั่วโลก หากมาตรการเพียงพอเศรษฐกิจอาจจะไม่ถดถอยมาก คาดว่าจะไม่กระทบกับการส่งออกของไทยไปมากกว่านี้" นางสาวกัณญภัค กล่าว

สำหรับ ปัจจัยลบหลักที่กระทบมาจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลให้หลายประเทศชะลอคำสั่งซื้อ การขนส่งสินค้าลำบากมากขึ้นทั้งทางเรือ ทางอากาศ จากการออกมาตรการปิดประเทศ หรือล็อคดาวน์ ควบคุมการเดินทางเข้า-ออก รวมถึงประเทศไทย ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง ซึ่งคาดว่าปริมาณสินค้าเกษตรที่ออกสู่ตลาดจะไม่เพียงพอต่อการส่งออก แม้มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ อาทิ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด สับปะรด ปาล์ม ลำไย เป็นต้น

ขณะที่ ส่วนปัจจัยบวกที่มีผลต่อการส่งออก เช่น การค้าขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มสินค้าอุปโภคและสินค้าเวชภัณฑ์ ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ อยู่ที่ 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี เนื่องจากผลของการระบาดไวรัสโควิด – 19 ส่งผลต่ออุปสงค์การใช้น้ำมันที่ลดลงทั่วโลก ประกอบกับสงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดิระเบีย รัสเซียและสหรัฐ ในช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อาจให้เกิดผลดีต่อต้นทุนการผลิตและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศลดต่ำลง

อย่างไรก็ตาม สรท.มีข้อเสนอแนะต่อรภาครัฐ ได้แก่ การจัดทำข้อเสนอแนะรองรับผลกระทบจากโควิด-19 ต่อภาคการส่งออกไทย เพื่อเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยข้อเสนอแนะที่จัดทำขึ้นได้พิจารณาทั้งในส่วนของระดับความสำคัญ ระยะเวลาการใช้มาตรการที่รองรับทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ครอบคลุมด้านการเงิน ด้านแรงงาน ด้านการนำเข้าวัตถุดิบและการส่งออกสินค้า ด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง ด้านการตลาด เป็นต้น

นางสาวกัณญภัค กล่าวต่อว่า อีกทั้ง สรท.ได้ทำการเปรียบเทียบมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในประเทศที่รัฐบาลได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้อย่างต่อเนื่อง หากแต่หลายมาตรการที่ออกมานั้นยังเพียงพอที่จะทำให้ผู้ประกอบการส่งออกและผู้ผลิตยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้ในช่วงระยะสั้นและอาจกระทบต่อเนื่องเป็นระยะยาวจนอาจถึงขั้นต้องปิดกิจการ

นอกจากนี้ สรท.ขอให้ภาครัฐมีความชัดเจนในเรื่องของวิธีการดำเนินงานของภาคการส่งออก นำเข้า โรงงานการผลิตและระบบโลจิกสติกส์ หากจำเป็นมีการประกาศเคอร์ฟิวยกระดับเป็น 24 ชั่วโมงทั่วประเทศ เนื่องจากโรงงานและระบบโลจิสติกส์เพื่อการส่งออกนำเข้าไม่สามารถหยุดการดำเนินกิจกรรมการทางการค้าทั้งในประเทศและระหว่างประเทศได้ มิเช่นนั้นแล้วอาจทำให้เครื่องจักรตัวสุดท้ายของระบบเศรษฐกิจพัง

นางสาวกัณญภัค กล่าวต่อว่า และขอให้ภาครัฐเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญของประเทศ ทั้งทางบก ทางราง ทางเรือ และทางอากาศ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุน ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจในประเทศสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น

ที่มา: https://www.matichon.co.th/economy/news_2127233