​“จุรินทร์”สั่งเตรียมพลิกวิกฤตโควิด-19 เป็นโอกาส ทำแผนฟื้นเศรษฐกิจ ทั้งการผลิต การค้า ส่งออก


“จุรินทร์”สั่งการพลิกวิกฤตโควิด เป็นโอกาส เตรียมถกภาคเอกชนทุกภาคส่วน หารือฟื้นเศรษฐกิจ ทั้งภาคการผลิต การตลาด การค้าภายในประเทศ และการส่งออกต่างประเทศ ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.นี้ สนค.เปิดโพยสินค้าที่มีศักยภาพประมาณ 30 รายการ ที่ไทยมีโอกาสส่งออกเพิ่ม พร้อมชี้เป้าสินค้าอาหารแห่งอนาคตที่กำลังมาแรง 6 กลุ่ม ที่มีโอกาสทางการตลาด   
         
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ เตรียมการร่วมมือกับภาคเอกชน ทั้งเกษตรกร สหกรณ์ ผู้ประกอบการขนาดใหญ่และขนาดกลางขนาดย่อม ตลาดการค้าส่งค้าปลีก โมเดิร์นเทรด แพลตฟอร์มออนไลน์ และผู้ส่งออก เพื่อ "พลิกโควิด เป็นโอกาส" โดยมีเป้าหมายใหญ่ คือ เตรียมพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ทั้งภาคการผลิต การตลาด การค้าภายในประเทศ และการส่งออกต่างประเทศ ในช่วงหลังโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจการค้าโดยรวม รวมทั้งเศรษฐกิจฐานราก  
         
“หน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงพาณิชย์ กำลังจัดเตรียมกำหนดการให้นายจุรินทร์ได้รับฟังปัญหา หาวิธีการแก้ปัญหาในพื้นที่ และวางแผนการทำงานในอนาคต ร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.2563 โดยท่านต้องการให้กระทรวงพาณิชย์มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม และใช้กลไกที่กระทรวงมีอยู่แล้ว เช่น พาณิชย์จังหวัด พาณิชย์ต่างประเทศ เสริมกับเครื่องมือสมัยใหม่ เช่น การค้าออนไลน์ แอปพลิเคชัน และหาแนวทางการเชื่อมโยงกลไกของกระทรวงพาณิชย์กับองค์กรภาคเอกชนทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าไทย ทั้งในประเทศ และการส่งออก”
         
สำหรับกลุ่มสินค้าและบริการที่มีศักยภาพของไทย กลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ข้าว ผลไม้ต่างๆ อาหารสำเร็จรูป ไก่ อาหารทะเล และภาคบริการ เช่น ร้านอาหาร แฟรนไชส์ โลจิสติกส์ และดิจิทัลคอนเทนท์
         
น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่า เพื่อเตรียมการสำหรับการหารือกับกลุ่มต่างๆ ข้างต้น สนค. ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์การนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารของประเทศต่างๆ ทั่วโลก และคัดเลือกมาประมาณ 30 รายการสินค้าศักยภาพ ที่บางรายการตลาดโลกยังอาจจะนำเข้าจากไทยเพิ่มได้ เช่น กุ้งแช่เย็นแช่แข็ง ซึ่งปัจจุบันไทยมีสัดส่วนในตลาดโลกเพียง 4.4% หรือลิ้นจี่ที่ไทยมีสัดส่วนตลาดโลก 6% ในขณะที่สินค้าบางรายการไทยทำได้ดีอยู่แล้ว ต้องรักษาไม่ให้สัดส่วนลดลง เช่น ข้าวสาร ทูน่ากระป๋อง และไก่แปรรูป ซึ่งมีสัดส่วนตลาดโลกที่ 24.6%, 27.3% และ 31.2% ตามลำดับ

นอกจากรายการสินค้าศักยภาพแล้ว สนค. ได้ศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาหารในอนาคต (Future food trends) โดยคัดเลือกมา 6 แนวโน้มที่ไทยอาจจะรุกตลาดให้มากขึ้น ได้แก่ 1.ตลาดอาหารรักษาสุขภาพ 2.อาหารที่มีการผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 3.สินค้าพรีเมี่ยมที่มีจุดขายเฉพาะ เช่น น้ำตาลต่ำ อาหาร plant-based หรือคีโต (ketogenic) 4.อาหารสำหรับกลุ่มผู้สูงวัย 5.การให้ข้อมูลกับผู้บริโภคมากขึ้นและโปร่งใส และ 6.สินค้าที่มีเรื่องราว เช่น สินค้า GI , OTOP เป็นต้น และยังมีสินค้าฮาลาลอีกกลุ่มหนึ่ง ที่กระทรวงพาณิชย์จะสนับสนุนต่อไป
 

ที่มา: https://www.commercenewsagency.com/news/3147

“จุรินทร์”สั่งการพลิกวิกฤตโควิด เป็นโอกาส เตรียมถกภาคเอกชนทุกภาคส่วน หารือฟื้นเศรษฐกิจ ทั้งภาคการผลิต การตลาด การค้าภายในประเทศ และการส่งออกต่างประเทศ ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.นี้ สนค.เปิดโพยสินค้าที่มีศักยภาพประมาณ 30 รายการ ที่ไทยมีโอกาสส่งออกเพิ่ม พร้อมชี้เป้าสินค้าอาหารแห่งอนาคตที่กำลังมาแรง 6 กลุ่ม ที่มีโอกาสทางการตลาด   
         
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ เตรียมการร่วมมือกับภาคเอกชน ทั้งเกษตรกร สหกรณ์ ผู้ประกอบการขนาดใหญ่และขนาดกลางขนาดย่อม ตลาดการค้าส่งค้าปลีก โมเดิร์นเทรด แพลตฟอร์มออนไลน์ และผู้ส่งออก เพื่อ "พลิกโควิด เป็นโอกาส" โดยมีเป้าหมายใหญ่ คือ เตรียมพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ทั้งภาคการผลิต การตลาด การค้าภายในประเทศ และการส่งออกต่างประเทศ ในช่วงหลังโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจการค้าโดยรวม รวมทั้งเศรษฐกิจฐานราก  
         
“หน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงพาณิชย์ กำลังจัดเตรียมกำหนดการให้นายจุรินทร์ได้รับฟังปัญหา หาวิธีการแก้ปัญหาในพื้นที่ และวางแผนการทำงานในอนาคต ร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.2563 โดยท่านต้องการให้กระทรวงพาณิชย์มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม และใช้กลไกที่กระทรวงมีอยู่แล้ว เช่น พาณิชย์จังหวัด พาณิชย์ต่างประเทศ เสริมกับเครื่องมือสมัยใหม่ เช่น การค้าออนไลน์ แอปพลิเคชัน และหาแนวทางการเชื่อมโยงกลไกของกระทรวงพาณิชย์กับองค์กรภาคเอกชนทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าไทย ทั้งในประเทศ และการส่งออก”
         
สำหรับกลุ่มสินค้าและบริการที่มีศักยภาพของไทย กลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ข้าว ผลไม้ต่างๆ อาหารสำเร็จรูป ไก่ อาหารทะเล และภาคบริการ เช่น ร้านอาหาร แฟรนไชส์ โลจิสติกส์ และดิจิทัลคอนเทนท์
         
น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่า เพื่อเตรียมการสำหรับการหารือกับกลุ่มต่างๆ ข้างต้น สนค. ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์การนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารของประเทศต่างๆ ทั่วโลก และคัดเลือกมาประมาณ 30 รายการสินค้าศักยภาพ ที่บางรายการตลาดโลกยังอาจจะนำเข้าจากไทยเพิ่มได้ เช่น กุ้งแช่เย็นแช่แข็ง ซึ่งปัจจุบันไทยมีสัดส่วนในตลาดโลกเพียง 4.4% หรือลิ้นจี่ที่ไทยมีสัดส่วนตลาดโลก 6% ในขณะที่สินค้าบางรายการไทยทำได้ดีอยู่แล้ว ต้องรักษาไม่ให้สัดส่วนลดลง เช่น ข้าวสาร ทูน่ากระป๋อง และไก่แปรรูป ซึ่งมีสัดส่วนตลาดโลกที่ 24.6%, 27.3% และ 31.2% ตามลำดับ

นอกจากรายการสินค้าศักยภาพแล้ว สนค. ได้ศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาหารในอนาคต (Future food trends) โดยคัดเลือกมา 6 แนวโน้มที่ไทยอาจจะรุกตลาดให้มากขึ้น ได้แก่ 1.ตลาดอาหารรักษาสุขภาพ 2.อาหารที่มีการผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 3.สินค้าพรีเมี่ยมที่มีจุดขายเฉพาะ เช่น น้ำตาลต่ำ อาหาร plant-based หรือคีโต (ketogenic) 4.อาหารสำหรับกลุ่มผู้สูงวัย 5.การให้ข้อมูลกับผู้บริโภคมากขึ้นและโปร่งใส และ 6.สินค้าที่มีเรื่องราว เช่น สินค้า GI , OTOP เป็นต้น และยังมีสินค้าฮาลาลอีกกลุ่มหนึ่ง ที่กระทรวงพาณิชย์จะสนับสนุนต่อไป
 

ที่มา: https://www.commercenewsagency.com/news/3147